ปัจจุบันมีข้อมูลมากมายที่กล่าวถึงการใช้สารสกัดกัญชาทั้ง THC และ CBD ในการรักษาโรคมะเร็ง จึงมีผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายคนพยายามหาซื้อสารสกัดกัญชามาใช้เอง เพื่อหวังผลในการรักษา 

วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจว่า สารสกัดจากกัญชา CBD ใช้รักษาโรคมะเร็งได้ไหม ? ใช้อย่างไร ? มีหลักฐานหรืองานวิจัยมากพอหรือยัง ? รวมถึงสิ่งที่ญาติและผู้ป่วยมะเร็งควรรู้เกี่ยวกับสาร CBD

หัวข้อที่น่าสนใจ

1. สารสกัดกัญชา CBD รักษาโรคมะเร็งได้จริงไหม ? 
2. ผู้ป่วยมะเร็งกับการใช้สารสกัดกัญชาทางการแพทย์
3. คำถามที่พบบ่อย 

• ผู้ป่วยมะเร็งดื่มเครื่องดื่มที่มีสารสกัดกัญชาได้ไหม ?
• เป็นมะเร็งซื้อน้ำมันกัญชามาใช้ปลอดภัยหรือไม่ ?

สารสกัดกัญชา CBD รักษาโรคมะเร็งได้จริงไหม ?

การใช้สารสกัดกัญชา CBD (Cannabinoids ) รักษาโรคมะเร็ง หรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการ หรือเอกสารงานวิจัยยืนยันว่าสามารถใช้รักษาโรคมะเร็งได้อย่างแน่ชัด จึงมีความจำเป็นต้องศึกษาวิจัยถึงประสิทธิภาพของสาร CBD ต่อไป 

ในกรณีที่ญาติหรือผู้ป่วยพบเห็นข้อมูลเกี่ยวกับกัญชา (cannabis) รักษาโรคมะเร็ง หรือ กัญชาสามารถต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ ได้ จนเกิดความสับสน จริงๆ แล้วข้อมูลเหล่านั้นเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นจากงานวิจัยบางกลุ่มที่ยังอยู่ในระดับการทดลอง และยังต้องมีการศึกษาวิจัยต่อไปอีก ก่อนนำมาใช้รักษามะเร็งอย่างจริงจัง

ส่วนการใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการกล่าวถึงในปัจจุบัน คือการใช้สารสกัดกัญชาเพื่อบรรเทาอาการ โดยไม่ได้มุ่งหวังผลการรักษาเพื่อการต้านเซลล์มะเร็งโดยตรง 

ดังนั้น ผู้ป่วยโรคมะเร็งยังควรได้รับการรักษาตามวิธีมาตรฐานทางการแพทย์ปัจจุบัน ไม่ควรหันไปใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาที่มีขายแบบผิดกฎหมาย หรือหลงเชื่อคำโฆษณาจากผู้ขาย เพราะจะทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิผลด้วยวิธีมาตรฐานได้

ผู้ป่วยมะเร็งกับการใช้สารสกัดกัญชา CBD ทางการแพทย์

ในส่วนของการใช้สารสกัดกัญชากับผู้ป่วยมะเร็งในทางการแพทย์ จะเป็นลักษณะการบรรเทาอย่างที่กล่าวไป โดยในกระบวนการรักษามะเร็งจะมีวิธีการรักษามาตรฐาน ได้แก่ การผ่าตัด การฉายรังสี การใช้ยาเคมีบำบัด และหรือยารับประทาน ซึ่งทั้งหมดนับเป็นวิธีการที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน 

ส่วนจะใช้การรักษาแบบใด และเรียงลำดับการรักษาอย่างไร แพทย์จะพิจารณาเป็นรายบุคคล โดยขึ้นกับสภาวะของร่างกาย ลักษณะและระยะของเซลล์มะเร็ง ซึ่งคนไข้บางรายที่ต้องได้รับยาเคมีบำบัดอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้หรือนอนไม่หลับ ดังนั้น แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้สารสกัดจากกัญชา CBD ในรูปแบบน้ำมันกัญชา ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบันควบคู่กันไป เพื่อลดอาการข้างเคียงจากการรักษาด้วยยาเคมี

ปัจจุบัน โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ จะใช้สารสกัดกัญชาในกลุ่มผู้ป่วยประคับประคอง (Palliative Care) รวมถึงผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายเป็นหลัก เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น

• ใช้ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยลดความทรมานจากการทำเคมีบำบัดได้ โดยจะช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนของผู้ป่วยโรคมะเร็ง
• ใช้ลดอาการเจ็บปวด ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง มักจะมีอาการปวดต่างๆ ทำให้เกิดความทรมาน สารสกัดกัญชาจะช่วยลดความเจ็บปวดเหล่านั้นได้
• ใช้ลดอาการปวดปลายประสาท อาการปวดเส้นประสาทเป็นหนึ่งในผลข้างเคียงจากการรับเคมีบำบัด การใช้สารสกัดกัญชาจะช่วยลดอาการปวดตามเส้นประสาทในผู้ป่วยโรคมะเร็งได้
• ใช้เพื่อช่วยเพิ่มความอยากอาหาร การทำเคมีบำบัด นอกจากจะทำให้คลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ ปวดตามข้อตามตัวแล้ว ยังทำให้ลดความอยากอาหารในผู้ป่วยมะเร็งด้วย สารสกัดกัญชาจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมารับประทานอาหารได้มากขึ้น

หมายเหตุ : เมื่อใดที่หยุดยาเคมีบำบัด แพทย์อาจพิจารณาหยุดหรือลดปริมาณการใช้น้ำมันกัญชา เพื่อประโยชน์สูงสุดในกระบวนการรักษามะเร็ง

คำถามที่พบบ่อย 

1.ผู้ป่วยมะเร็งดื่มเครื่องดื่มที่มีสารสกัดกัญชาได้ไหม ?

อย่างที่ทราบกันดีว่า สารสกัดกัญชาถูกนำมาพัฒนาในรูปแบบของเครื่องดื่ม รวมถึงมีเมนูอาหารที่มีส่วนประกอบของกัญชาวางขายทั่วไป ทั้งก๋วยเตี๋ยวน้ำกัญชา บราวนีกัญชา เครื่องดื่มชาที่ผสมกัญชา ในเบื้องต้นไม่แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทาน เพราะไม่อาจทราบส่วนผสมหรือวิธีการปรุงได้ว่า มีการใส่สารสกัดกัญชาเกินกว่าปริมาณที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ การหาซื้อมารับประทานอาจเกิดผลเสียต่อผู้ป่วยมากขึ้นในการรักษาโรค 

2.เป็นมะเร็งซื้อน้ำมันกัญชามาใช้ปลอดภัยหรือไม่ ? 

มีผู้ป่วยโรคมะเร็งที่หาซื้อ “น้ำมันกัญชา” มาใช้เอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ หรือหาซื้อมาใช้ นอกเหนือจากปริมาณที่แพทย์กำหนด ทำให้ได้รับปริมาณสารเกินขนาด ซึ่งเสี่ยงอันตรายมาก เช่น ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตตก มีโอกาสเกิดภาวะช็อกหรือหัวใจล้มเหลวจนเสียชีวิต หรือในกรณีที่ใช้น้ำมันกัญชาเป็นยาเดี่ยว ไม่รับการรักษาในแนวทางของแพทย์แผนปัจจุบันก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้นจากโรคนั้นๆ